เรื่องเบญจภาคีผ้าไทย หรือนางพญาผ้าซิ่นทั้ง5
1. ผ้าซิ่นไหมคำเมืองเชียงตุง ซิ่นไหมคำเมืองเชียงตุงหรือเรียกอีกอย่างว่าซิ่นบัวคำ เป็นซิ่นชนิดเดียวในผ้าซิ่นทั้ง5ที่ไม่ได้มีแหล่งกำเนิดในเมืองไทย เป็นซิ่นของราชสำนักไทเขิน นอกจากจะมีความสวยงามและความโดดเด่นแล้วยังมีมูลค่าหลายแสนบาทด้วยเพราะซิ่นชนิดนี้หาได้ยากมาก
เชื่อกันว่าซิ่นชนิดนี้มีอาถรรพ์โดยเป็นซิ่นชนิดเดียวที่เลือกผู้เป็นเจ้าของ
เนื่องด้วยเมืองเชียงตุงเป็นเมืองการค้าระหว่างล้านนา จีน พม่า จึงรับเอาวัฒนธรรมของชาติต่างๆมาผสมผสานผ่านผืนผ้าได้อย่างลงตัว
ตัวซิ่นจะทอยกมุกด้วยไหมคำโดยนำเอาทองคำหรือเงินหรือกาไหล่ทองมารีดเป็นเส้นแบนยาวแล้วเอามาตีเกลียวกับเส้นใยส่วนมากเป็นฝ้ายแล้วนำมาทอ ต่อกับส่วนล่างของซิ่นคือผ้าไหมจีนหรือกำมะหยี่สีเขียว ด้านบนของตีนซิ่นจะปักลายบัวคำด้วยเส้นไหมหรือโลหะมีค่า ส่วนล่างสุดของซิ่นจะติดด้วยแถบไหมของจีน
2. ซิ่นตีนจกไหมเงินไหมคำราชสำนักเชียงใหม่ ซิ่นตีนจกแบบเชียงใหม่นั้นเรียกได้ว่าเป็นซิ่นที่เป็นมาตรฐานของซิ่นล้านนา ลวดลายที่แน่นอนมีแบบแผนชัดเจน ซิ่นชนิดนี้มักมีผู้สั่งทอมากเช่นเจ้านายลำพูน ลำปาง และพวกคหบดีมีเงิน
ลักษณะของซิ่นตีนจกแบบเชียงใหม่นั้น มีลวดลายเหมือนซิ่นจกที่อื่นๆ คือจกอยู่บนเชิงและปล่อยที่ว่างด้านล่างซิ่นที่เป็นสีแดงเรียกว่า เล็บซิ่น ลวดลายมีหลากหลายแต่ที่นิยมมากคือคือลาบโคมภายในมีรูปนกกินน้ำร่วมต้น ขนาบด้วยห้องนกสามเหลี่ยมซ้อน2ชั้นด้านบน ด้านล่างซ้อนชั้นเดียว หางสะเปามีสีเดียวคือดำล้วน และสลับสี โดยปกติที่ตีนจะทอด้วยฝ้ายแต่ถ้าเป็นของเจ้านายหรือผู้ดีมีเงินจะทอด้วยดิ้นเงินดิ้นทอง ต่อกับตัวซิ่นลายขวาง ในพระตำหนักของเจ้าดารารัศมี มีการต่อตัวซิ่นด้วยผ้าลุนตยาอชิคของพม่า
ตีนซิ่นที่ทอจกด้วยไหมคำนั้นไม่จำกัดเฉพาะในราชสำนักเชียงใหม่อย่างเดียว พวกผู้ดีมีเงินก็สามารถที่จะใส่ได้เช่นกัน ในปัจจุบันจะหาแบบเต็มผืนยากส่วนมากจะเหลือแต่ตีนซิ่นที่เป็นโลหะมีค่า
3. ผ้าซิ่นน้ำท้วง เชียงใหม่ ซิ่นน้ำถ้วม(เขียนตามอักขระล้านนา)หรือซิ่นน้ำท่วม(ตามภาษาไทยกลาง) เป็นชื่อของผ้าซิ่นไทยวนชนิดหนึ่ง มีถิ่นกำเนิดในบริเวณพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมในคราวสร้างเขื่อยภูมิพล จึงเป็นที่มาของชื่อ ในอดีตเป็นชุมชนโบราณที่ความเจริญมากแต่ประวัติศาสตร์ของเมืองต้องมลายหายไปเมื่อมีการสร้างเขื่อน ทำให้ผู้คนหนีย้ายไปยังที่ต่างๆ ว่ากันว่ามีคนหนีตายจำนวนมากเพราะดื้อดึงที่จะอยู่ที่เดิม บางคนหนีทันก็นำเอาข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นติดตัวมาเท่านั้น หอบเอาผ้าซิ่นไม่กี่ผืนติดตัวมา กระจัดกระจายกันไป เมื่อมาอยู่ที่ใหม่วิถีชีวิตก็เปลี่ยนไปและยิ่งนานวันก็ไม่มีผู้สืบทอด
ซิ่นชนิดนี้มีลวดลายและองค์ประกอบคล้ายคลึงกับซิ่นที่ใช้กันในราชสำนักเชียงใหม่ แต่ไม่ใช้ดิ้นเงินดิ้นทองแบบราชสำนัก จึงมีความงามแบบพอดีๆ ซิ่นชนิดนี้มีความหลากหลายในตัวลายมาก แต่ลักษณะเด่นคือหางสะเปาเป็นสีดำล้วนและขนาดไม่ยาว
4.ผ้าวิเศษเมืองน่าน หรือ ผ้าไหลน่าน เมืองน่านหรือเมืองนันทบุรีซึ่งแปลว่าเมืองแห่งความสุขรื่นรมณ์ เมืองน่านนั้นเป็นแหล่งกำเนิดของผ้าซิ่นที่สวยงามหลากหลายชนิด ความงามของผ้าซิ่นเมืองน่านนั้นเป็นการเอาสุดยอดเทคนิคของชนชาติต่างๆอย่าง ยวน ลื้อ ลาว มาหลอมรวมจนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ซิ่นวิเศษหรือเรียกอีกอย่างว่าซิ่นหล่ายน่าน โดยปกติความงามของซิ่นเมืองเหนือจะอยู่ที่ลายจกในส่วนตีนแต่ซิ่นชนิดนี้มีความงามอยู่ทั่วผืนผ้า ทั้งตัวซิ่น ตีนซิ่น และสีของซิ่น เป็นซิ่นเย็บ3 ตะเข็บ(ปกติซิ่นที่ใช้ในปัจจุบันจะมี1หรือ2ตะเข็บ) และใช้เทคนิคหลากหลาย ทั้งจก การเกาะล้วง ขิด และแซมด้วยมัดหมี่ อันเป็นที่มาของชื่อซิ่นวิเศษเมืองน่าน
ความหายากของซิ่นชนิดนี้ที่มีการผสานเทคนิคอย่างที่กล่าวนั้นมีประมาณ20ผืนซึ่งกระจายอยู่ตามพิพิธภัณฑ์และนักสะสม ว่ากันว่าซิ่นชนิดนี้ไม่ปรากฏร่องรอยการใช้ แต่ที่เก่าก็เพราะการเก็บรักษา เป็นซิ่นที่ตกทอดไว้ขึ้นหิ้งบูชา ใน1ปีเมื่อมีพิธีกรรมจึงนำออกมาใช้ นี่จึงเป็นอีกสาเหตุที่พบน้อยผืน เพราะไม่ค่อยใช้จึงไม่มีการทอเพิ่ม
5..ซิ่นน้ำปาด-ฟากท่าอุตรดิตถ์ เดิมทีนั้นชาวน้ำปาดมีถิ่นฐานอยู่แถบประเทศลาว ต่อมาจึงมีการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณอ.น้ำปาดและขยายเมืองไปยังอ.ฟากท่า
ซิ่นน้ำปาด ฟากท่านั้นได้กลิ่นอายจากผ้าลาว ลื้อ และยวน อย่างครบถ้วน มีความประณีตในการออกแบบลายและเลือกสีสัน ลักษณะจะคล้ายซิ่นลาวครั่ง ตัวซิ่นจะมัดหมี่เป็นลายแบบลาว บางผืนจะใช้เทคนิคเกาะล้วงแบบลื้อ เชิงซิ่นใช้วิธีจกแบบไทยวน(ล้านนา) ลวดลายการมัดหมี่นั้นมีไม่ซ้ำแบบ บางผืนนำเอาผ้าต่างชาติอย่างจีนและอินเดียมาทำตัวซิ่น
ซิ่นชนิดนี้เป็นซิ่นพิเศษคือไม่ได้ทอใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ทอเป็นซิ่นมูนมัง มรดกประจำตระกูล ด้วยเหตุนี้ซิ่นน้ำปาด ฟากท่าจึงหายากแสนยาก
Credit : http://pantip.com/topic/30613810